การส่งพัสดุไปต่างประเทศอาจดูเป็นเรื่องที่ไกลตัว แต่สำหรับบุคคลทั่วไปที่ต้องการส่งของขวัญพิเศษให้คนรู้จักที่อยู่ห่างไกล หรือแม้แต่ผู้ประกอบการที่ต้องการขยายตลาดไปยังต่างแดนควรต้องทราบ โดยเฉพาะกับขั้นตอนและเรื่องต่างๆ ที่ควรทราบก่อนที่จะเริ่มส่งของไปต่างประเทศ เพราะหากเราไม่มีการเตรียมตัวที่ดี ก็อาจทำให้ขั้นตอนต่างๆ ล่าช้า รวมถึงเสียค่าใช้จ่ายต่างๆ ที่ไม่ควรเสีย และอาจทำให้พัสดุของเราเสียหายก่อนจะถึงมือผู้รับได้ และเพื่อป้องกันปัญหาดังกล่าว ในบทความนี้ เราขอแนะนำ 5 ขั้นตอนการส่งพัสดุไปต่างประเทศที่สามารถทำตามได้ง่ายกว่าที่คิด เพื่อให้การส่งพัสดุไปต่างประเทศของเราราบรื่นที่สุด ขั้นตอนการส่งพัสดุไปต่างประเทศ เริ่มยังไง
1. ศึกษากฎระเบียบต่างๆ ของการส่งพัสดุไปยังประเทศปลายทาง
ขั้นตอนแรกของการส่งพัสดุไปต่างประเทศและเป็นหนึ่งในขั้นตอนที่สำคัญที่สุด คือ การศึกษากฎระเบียบของประเทศปลายทาง ว่าแต่ละประเทศสามารถนำเข้าสินค้า และสิ่งของแบบไหนได้บ้าง รวมถึงมีขั้นตอนการดำเนินการอื่นๆ อย่างไร เพราะแต่ละประเทศ ต่างมีข้อกำหนดที่แตกต่างกันเกี่ยวกับสิ่งของที่อนุญาตให้นำเข้า ประเทศบางแห่งอาจมีข้อห้ามเข้มงวดสำหรับสินค้าประเภทอาหาร ยา หรือสินค้าบางประเภทอื่นๆ เช่น ประเทศญี่ปุ่นมีข้อห้ามในการนำเข้าธัญพืชและเมล็ดพันธ์ุ ในขณะที่สหรัฐอเมริกามีห้ามนำเข้าสินค้าแปรรูปจากเนื้อสัตว์ เช่น หมูหย็อง หมูแผ่น เป็นต้น
รวมถึงข้อกำหนดพิเศษสำหรับสินค้าบางประเภท เช่น อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่ต้องผ่านมาตรฐานความปลอดภัยของแต่ละประเทศเสียก่อน อาหารและเครื่องสำอาง ที่ต้องผ่านการตรวจสอบจากหน่วยงานควบคุมอาหารและยาของประเทศนั้นๆ จึงจะสามารถนำเข้ามาได้
การศึกษาข้อมูลเหล่านี้ก่อนจะช่วยให้ผู้ประกอบการส่งออกและบุคคลทั่วไปที่ต้องส่งพัสดุไปต่างประเทศ สามารถประหยัดเวลาและค่าใช้จ่ายต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นจากปัญหาด้านศุลกากร เช่น การตีกลับสินค้า และปัญหาอื่นๆ ที่อาจส่งผลกับเราในอนาคตได้
2. เตรียมความพร้อมด้านเอกสารและภาษีต่างๆ
การส่งพัสดุหรือส่งเอกสารไปต่างประเทศ โดยเฉพาะในการซื้อขาย และนำเข้า-ส่งออกสินค้าระหว่างประเทศ ที่จำเป็นต้องมีเอกสารประกอบที่ถูกต้องครบถ้วน เพื่อใช้ดำเนินการในขั้นตอนต่างๆ ระหว่างการขนส่งต่างประเทศ เช่น การยืนยันพัสดุ การดำเนินพิธีการศุลกากร ไปจนถึงการขนส่ง และรับสินค้า พัสดุ ณ ปลายทาง โดยเอกสารที่เกี่ยวข้อง จะมีตั้งแต่
-
ใบกำกับสินค้า (Commercial Invoice): เอกสารที่แสดงรายละเอียดและมูลค่าของสินค้า มักถูกใช้เพื่อยืนยันการซื้อขาย และแสดงต่อศุลกากรในแต่ละประเทศ
-
ใบรายการบรรจุหีบห่อ (Packing List): เอกสารแสดงรายการขนาดและสิ่งของทั้งหมดในพัสดุ ใช้ยื่นให้กรมศุลกากรและการจัดการการขนส่ง
-
ใบขนสินค้า (Customs Declaration): เอกสารสำหรับการผ่านพิธีการศุลกากร แยกเป็นใบขนสินค้าขาออก (Export Declaration) สำหรับพิธีการศุลกากรขาออก และใบขนสินค้าขาเข้า (Import Declaration) สำหรับพิธีการศุลกากรขาเข้า เมื่อถึงประเทศปลายทาง
-
เอกสารพิเศษอื่นๆ: เช่น ใบรับรองผลิตภัณฑ์ (Certificate) สำหรับสินค้าควบคุมบางประเภท และใบรับรองแหล่งกำเนิดสินค้า (Certificate of Origin) เพื่อระบุถึงแหล่งที่มาของสินค้า
การศึกษาเรื่องภาษีและอากรนำเข้าของแต่ละประเทศมีความสำคัญไม่แพ้กัน เพราะในบางประเทศมีการเก็บภาษีนำเข้าที่สูง แม้จะเป็นการส่งของขวัญหรือสินค้ามูลค่าไม่สูงให้คนรู้จักก็ตาม แต่บางประเทศอาจมีการยกเว้นภาษีอากรจากสินค้าและพัสดุจากประเทศไทย หรือในกรณีที่มีเอกสารบางอย่างควบคู่มาด้วย เช่น ใบรับรองแหล่งกำเนิดสินค้าอาจมีการยกเว้นภาษีอากรได้ด้วยเช่นกัน
หากเราทราบว่าจะต้องใช้เอกสาร หรือต้องจ่ายภาษีอากรอะไรบ้างจะทำให้เราสามารถเตรียมตัว จัดการเอกสารและภาษีต่างๆ ได้ทันท่วงที และทำให้ส่งพัสดุไปต่างประเทศนั้นราบรื่น ไม่เกิดปัญหาที่อาจทำให้สะดุดได้
3. บรรจุพัสดุให้ปลอดภัยและถูกต้อง
เมื่อเตรียมการทั้งในด้านกฎหมาย ภาษี และเอกสารต่างๆ เรียบร้อยแล้ว ถึงเวลาเริ่มบรรจุพัสดุให้พร้อมก่อนเริ่มส่งพัสดุไปต่างประเทศ โดยการบรรจุสินค้าและหีบห่ออย่างถูกต้องนั้น ถือว่าเป็นหนึ่งในขั้นตอนสำคัญ ที่ทำให้พัสดุของเราปลอดภัย ไม่เสียหายระหว่างการขนส่งได้
โดยเทคนิคเบื้องต้นของการห่อและบรรจุสินค้าให้มีความแข็งแรงและปลอดภัย สามารถทำได้ตามนี้
-
ควรใช้กล่องบรรจุที่แข็งแรงและมีขนาดพอเหมาะกับสิ่งของ ไม่ใหญ่หรือเล็กเกินไป
-
หากเป็นสินค้าเปราะบาง ควรห่อด้วยพลาสติกกันกระแทกหลายชั้น
-
เติมเต็มช่องว่างในกล่องให้เต็มด้วยวัสดุกันกระแทก หรือกระดาษ เพื่อป้องกันการกระแทกระหว่างการขนส่ง
-
เลือกวัสดุกันกระแทกที่เหมาะสม เช่น ใช้แผ่นฟองอากาศหรือโฟมกันกระแทกห่อสินค้าที่แตกหักง่าย สินค้าอิเล็กทรอนิกส์ควรมีการป้องกันไฟฟ้าสถิตระหว่างขนส่ง เช่น การใช้แผ่นลูกฟูกป้องกันไฟฟ้าสถิตรองสินค้าเอาไว้
และนอกจากการบรรจุหีบห่อแล้ว วิธีเขียนที่อยู่และติดฉลากให้ถูกต้องเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการส่งพัสดุไปต่างประเทศ การเขียนชื่อที่อยู่ของผู้ส่งและผู้รับจะต้องระบุให้ครบถ้วนตั้งแต่ชื่อ บ้านเลขที่ อาคาร เมือง ประเทศ จนถึงรหัสไปรษณีย์และเบอร์ติดต่อ เพื่อให้บริษัทขนส่งและพนักงานสามารถส่งพัสดุไปยังที่หมายที่เขียนได้อย่างแม่นยำ นอกจากนี้ การติดฉลากต่างๆ เช่น ฉลาก Fragile สำหรับสินค้าเปราะบาง หรือฉลากระบุทิศทางการหันของกล่อง ช่วยเป็นแนวทางในการดูแลพัสดุให้กับพนักงานส่งของไปรษณีย์ เพื่อให้พัสดุที่ส่งไปอยู่ในสภาพดีและสมบูรณ์ที่สุด
4. คำนวณค่าใช้จ่ายและเลือกวิธีการขนส่งที่เหมาะสม
การคำนวณค่าใช้จ่ายล่วงหน้า ทั้งค่าส่งและค่าดำเนินการต่างๆ จะสามารถช่วยให้ผู้ประกอบการและผู้ส่งสามารถจัดการ วางแผนการส่งได้ดียิ่งขึ้น รวมถึงสามารถพิจารณาค่าขนส่งของชิปปิ้งแต่ละเจ้าเพื่อตัดสินใจเลือกใช้บริการขนส่งสินค้าแบบไหนได้ด้วย โดยปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อค่าใช้จ่ายและค่าส่งพัสดุไปต่างประเทศ จะมีอยู่ด้วยกันนี้
-
น้ำหนักและขนาดของพัสดุ: ยิ่งขนาดใหญ่ น้ำหนักเยอะ ยิ่งเสียค่าส่งสูงขึ้น
-
ประเทศปลายทาง หรือระยะทางการส่ง: เช่น ค่าส่งพัสดุจากไทยไปจีน ถูกกว่าค่าส่งพัสดุไปอเมริกา เพราะระยะทางสั้นกว่า
-
ความเร่งด่วนในการจัดส่ง: ยิ่งเร็ว ยิ่งเสียค่าส่งเพิ่ม
-
วิธีการขนส่งที่เลือก: เช่น ทางอากาศ ทางเรือ ทางบก
-
บริการเสริมต่างๆ : เช่น การประกันพัสดุ การติดตามพัสดุ
-
ภาษีอากร และภาษีอื่นๆ ที่ต้องชำระ
-
ค่าใช้จ่ายอื่นๆ เช่น ค่าดำเนินการ ค่าเอกสาร
และนอกจากค่าใช้จ่ายแล้ว การเลือกวิธีการขนส่งที่เหมาะสมเป็นสิ่งสำคัญที่ไม่ควรข้าม เพราะแต่ละวิธีมีจุดเด่น และความเหมาะสมที่แตกต่างกัน การเลือกวิธีการขนส่งที่ไม่ถูกต้อง นอกจากจะทำให้การส่งของล่าช้าแล้ว ยังอาจทำให้เราเสียค่าส่งที่สูงเกินจำเป็นได้อีกด้วย โดยวิธีการขนส่งพัสดุไปต่างประเทศ สามารถแบ่งได้เป็น 3 ประเภทหลักๆ ได้แก่
-
การขนส่งทางอากาศ (Air Freight): ขนส่งสินค้าและพัสดุด้วยเครื่องบิน ใช้เวลาส่งประมาณ 3-5 วัน เป็นการขนส่งรวดเร็วที่สุด แต่มีค่าใช้จ่ายที่สูงเช่นกัน เหมาะสำหรับสินค้ามูลค่าสูงหรือสินค้าต้องการความรวดเร็วในการส่ง
-
การขนส่งทางทะเล (Sea Freight): ขนส่งสินค้าและพัสดุด้วยเรือ มีค่าใช้จ่ายต่ำกว่าการส่งทางอากาศ แต่ใช้เวลานาน ตั้งแต่ 1-2 อาทิตย์ขึ้นไป เหมาะสำหรับสินค้าที่มีน้ำหนักมากหรือมีขนาดพัสดุที่ใหญ่
-
การขนส่งทางบก (Land Freight): ขนส่งสินค้าและพัสดุด้วยรถยนต์หรือรถไฟ ใช้เวลาส่งตั้งแต่หลักวันจนถึงหลักอาทิตย์ เหมาะสำหรับการส่งสินค้าในระยะสั้น ไปยังประเทศเพื่อนบ้านต่างๆ
5. เลือกบริษัทขนส่งที่มีความเชี่ยวชาญ และน่าเชื่อถือ
การเลือกบริษัทขนส่งหรือชิปปิ้ง (Shipping) ที่เหมาะสม ถือว่าเป็นปัจจัยสำคัญอย่างยิ่งต่อความสำเร็จในการส่งพัสดุไปต่างประเทศ เพราะบริษัทขนส่งที่ดี นอกจากจะดำเนินการส่งของไปต่างประเทศได้อย่างสะดวก รวดเร็ว และราบรื่นแล้ว ยังต้องมีความน่าเชื่อถือ และมีความเชี่ยวชาญในการดำเนินการต่างๆ ที่ทำให้เราส่งของได้อย่างอุ่นใจ รวมถึงบริการอื่นๆ ที่ทำให้การส่งพัสดุของเราเป็นเรื่องง่าย ไม่ว่าจะเป็น
-
การให้คำปรึกษาในขั้นตอนต่างๆ เช่น การเตรียมเอกสาร การดำเนินพิธีการศุลกากร
-
มีบริการพิเศษที่น่าสนใจ เช่น ระบบติดตามพัสดุแบบ Real-time การประกันสินค้าระหว่างขนส่ง และบริการแจ้งเตือนสถานะพัสดุ
-
มีความเชี่ยวชาญในเส้นทางการขนส่งไปยังประเทศปลายทาง
-
ดำเนินการต่างๆ ได้อย่างรวดเร็วและน่าเชื่อถือ
-
มีเครือข่ายและพันธมิตรในต่างประเทศที่ครอบคลุม
-
การบริการหลังการขายและการแก้ไขปัญหาที่ดี รวดเร็ว และใส่ใจ
-
อัตราค่าบริการที่เหมาะสมและคุ้มค่า
การพิจารณาบริษัทขนส่งด้วยปัจจัยเหล่านี้ นอกจากจะช่วยให้ผู้ส่งพัสดุสามารถตัดสินใจได้ว่าจะเลือกส่งของไปต่างประเทศ ขนส่งไหนดีนั้น การเลือกบริษัทขนส่งที่มีปัจจัยเหล่านี้ในด้านดี ยังทำให้เราไว้ใจได้ว่า การส่งพัสดุไปต่างประเทศ จะไปถึงมือผู้รับอย่างรวดเร็วและไร้ปัญหากวนใจแน่นอน

ส่งของไปต่างประเทศกับ FBA Easy สะดวกกว่าที่เคย
FBA Easy คือ แพลตฟอร์มบริการส่งของไปต่างประเทศ ตั้งแต่การส่งเอกสาร ส่งพัสดุ และจัดส่งสินค้าระหว่างประเทศครอบคลุมทั่วโลก ไม่ว่าจะส่งของไปสิงคโปร์ ส่งของไปฮ่องกง ส่งของไปอเมริกา ส่งของไปจีน ยุโรป และเอเชีย พร้อมทางเลือกการขนส่งที่หลากหลายทั้งทางบก ทางอากาศ และทางทะเล ผ่านความร่วมมือกับบริษัทขนส่งชั้นนำกว่า 10 ราย รวมถึงมีบริการ Amazon FBA การจัดส่งสินค้าไปยังคลังสินค้าของ Amazon ในประเทศสหรัฐอเมริกา แคนาดา อังกฤษ และเยอรมัน FBA Easy ตอบโจทย์ทุกความต้องการเรื่องส่งของไปต่างประเทศ
ติดต่อหรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่Line: @kartonexpress
Email: admin@karton.express
Facebook: https://www.facebook.com/fbaeasy